• หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
  • บริการของเรา
    • คำนวณผลประโยชน์พนักงาน
    • ที่ปรึกษาด้านประกันภัย
    • บริการอื่นๆ
  • บทความ
  • Japan Desk
  • HR Regulation
  • Professional Standards
  • ติดต่อเรา
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
  • บริการของเรา
    • คำนวณผลประโยชน์พนักงาน
    • ที่ปรึกษาด้านประกันภัย
    • บริการอื่นๆ
  • บทความ
  • Japan Desk
  • HR Regulation
  • Professional Standards
  • ติดต่อเรา
PAA Eligibility Check(list) : (ราย)การตรวจสิทธิการนำวิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายมาใช้

PAA Eligibility Check(list) : (ราย)การตรวจสิทธิการนำวิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายมาใช้

  • On September 17, 2021

สืบเนื่องจากการเขียนบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการเลือกใช้วิธีวัดมูลค่าของบริษัทประกันวินาศภัย ทำให้นึกถึงงานที่เพื่อนของผม คือ คุณสุชิน พงษ์พึ่งพิทักษ์ ได้ทำการตีความจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 เกี่ยวกับการตรวจสิทธิการนำวิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายมาใช้ พร้อมมีการทำตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย เพื่อให้เข้าใจวิธีการวัดมูลค่าตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 17 ทั้งวิธีการวัดมูลค่าโดยทั่วไป (General Model Measurement หรือ GMM) และวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (Premium Allocation Approach หรือ PAA) พร้อมทั้งสรุปเป็นรายการ (Checklist) ให้สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายๆ จึงได้ขออนุญาตนำแนวคิดจากสไลด์ที่จัดทำไว้มาเป็นแนวทางสำหรับการเขียนบทความนี้

การตรวจสอบสิทธิในการนำวิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายไปใช้ มีดังนี้

  1. สัญญาประกันภัยจะต้องไม่เป็นสัญญาที่เป็นภาระ หรือ Onerous Contract (ย่อหน้าที่ 18 ของ IFRS17) หรือ
  2. การวัดมูลค่าของหนี้สินที่ยังเหลืออยู่ หรือ Liability for remaining coverage (LRC) ของกลุ่มสัญญาประกันภัยที่ใช้วิธีอย่างง่าย ต้องได้หนี้สินที่คาดว่าจะไม่แตกต่างอย่างเป็นสาระสำคัญจากการใช้วิธีวัดมูลค่าทั่วไป (ย่อหน้าที่ 53(a)) หรือ
  3. สัญญาประกันภัยแต่ละสัญญาในกลุ่มสัญญาประกันภัยมีระยะเวลาความคุ้มครอง 1 ปี หรือน้อยกว่า (ย่อหน้าที่ 53(b))

สัญญาประกันภัยที่ใช้วิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย ต้องสมมติว่าไม่เป็นสัญญาประกันภัยที่เป็นภาระ หรือ Onerous Contract นอกเสียจากว่า “ข้อเท็จจริง และสถานการณ์” บ่งชี้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น ความหมายคือ สัญญาประกันภัยส่วนใหญ่ที่มีกำไร “ไม่จำเป็นต้องมีการทดสอบที่ซับซ้อน” เช่นเดียวกับวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) แล้วเราจะตีความ “ข้อเท็จจริง และสถานการณ์” ว่าหมายความถึงข้อเท็จจริง และสถานการณ์ใดบ้าง?

      • สถานการณ์ใน การกำหนดราคา (Pricing)
      • ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ผลประกอบการ หรือประสบการณ์ที่ผ่านมา (Past operating results/experiences)
      • สถานการณ์ใน การจัดทำแผนธุรกิจ (Business plan)
      • ข้อเท็จจริงและสถานการณ์ใน การกำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยง (Risk management policies)
      • ข้อเท็จจริง และสถานการณ์อื่นๆ (Etc.)

 

ต่อจากนี้ ขอนำท่านผู้อ่านมาร่วมสำรวจจากตัวอย่างที่จะใช้วิธีวัดมูลค่าทั้งแบบทั่วไป และอย่างง่าย ดังนี้

สัญญาประกันภัยอัคคีภัยมีระยะเวลาคุ้มครอง 3 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว 300 บาท ณ วันออกกรมธรรม์ หากมีการเวนคืนหรือขาดอายุ(Surrender/Lapse) จะคืนเบี้ยประกันภัยบางส่วนตามสัดส่วนของความคุ้มครองที่เหลืออยู่ในอนาคต กลุ่มสัญญาประกันภัยมีจำนวนที่ออกทั้งหมด 100 กรมธรรม์ บริษัทตั้งเป้าหมายกำไร(Target profit) ไว้ที่ร้อยละ 40

สถานการณ์ฐาน (Base scenario)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เท่ากันทุกปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ และเบี้ยประกันภัย จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี

ตาราง 1.0 เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ฐาน

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ฐานข้างต้น ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า GMM LRC มีค่าเท่ากับ PAA LRC ณ สิ้นปีที่ 1, 2 และ 3

ตาราง 2.0 เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) สถานการณ์ฐาน

แม้ว่ารายได้จากการรับประกันภัยของทั้งสองวิธีจะแตกต่างกัน (เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์) แต่กำไรต่อปีในแต่ละปีเท่ากันทั้งสองวิธี

สถานการณ์ที่ 1  ต้นทุนสินไหมทดแทนไม่เท่ากัน (Unlevel claim cost)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เป็นสัดส่วนของอัตราส่วนรวม (combined ratio) ในแต่ละปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ และเบี้ยประกันภัย จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี

ตาราง 1.1 เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ที่ 1

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ที่ 1 ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า GMM LRC มีค่าไม่เท่ากับ PAA LRC โดยแตกต่างกันอยู่ประมาณร้อยละ 8 ถึง 15 เนื่องจากวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ไม่ได้ทยอยรับรู้ตามการผันผวนของต้นทุนสินไหม (Claim pattern)

ตาราง 2.1 เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) สถานการณ์ที่ 1

รูปแบบการรับรู้กำไรรายปีของวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) แตกต่างกับการรับรู้กำไรรายปีของวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) แต่กำไรทั้งหมดของทั้งสองวิธีมีค่าเท่ากัน คือ 12,000 บาท

สถานการณ์ที่ 1(ก) ต้นทุนสินไหมทดแทนไม่เท่ากัน (Unlevel claim cost)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เป็นสัดส่วนของอัตราส่วนรวม (combined ratio) ในแต่ละปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี ส่วนเบี้ยประกันภัยจะทยอยรับรู้เป็นสัดส่วนของอัตราส่วนรวม (combined ratio) ในแต่ละปี

ตาราง 1.1(ก) เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ที่ 1(ก)

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ที่ 1 ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า GMM LRC มีค่าไม่เท่ากับ PAA LRC แตกต่างกันอยู่เพียงร้อยละ 1 เนื่องจากค่าปรับความเสี่ยง หรือ RA ไม่ได้ทยอยรับรู้ตามอัตราส่วนรวม (combined ratio)

ตาราง 2.1(ก) เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) – สถานการณ์ที่ 1(ก)

รูปแบบการรับรู้กำไรรายปีของวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ใกล้เคียงกับการรับรู้กำไรรายปีของวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) มากกว่าสถานการณ์ 1

ข้อสรุปของสถานการณ์ที่ 1 ต้นทุนสินไหมที่ไม่เท่ากัน (Unlevel claim cost)

  • สำหรับวิธีวัดมูลค่าทั่วไป ต้นทุนสินไหมที่ไม่เท่ากัน (Unlevel claim cost) จะมีผลต่อรูปแบบการรับรู้ของ CSM และ RA
  • สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความเสี่ยงไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่ CSM และ RA จะถูกทยอยรับรู้เป็นสัดส่วนโดยตรงกับรูปแบบของความเสี่ยงที่คุ้มครองนั้น โดยทางเทคนิค
  • หากการรับรู้เบี้ยประกันภัยที่เป็นรายได้ สำหรับวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) เท่ากันตลอดระยะเวลาความคุ้มครอง ต้นทุนสินไหมที่ไม่เท่ากัน(Unlevel claim cost) จะไม่มีผลต่อหนี้สินที่ยังเหลืออยู่หรือ LRC แต่จะมีผลต่อค่าใช้จ่ายและรูปแบบของการรับรู้กำไร
  • หากมีการปรับการรับรู้เบี้ยประกันภัยที่เป็นรายได้ ให้สอดคล้องกับรูปแบบของต้นทุนสินไหมที่ไม่เท่ากัน(Unlevel claim cost) ส่วนที่แตกต่างกันของหนี้สินที่ยังเหลืออยู่ หรือ LRC ของทั้งวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) จะน้อยลง

 

สถานการณ์ที่ 2 การคิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Discounting)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เท่ากันทุกปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี ส่วนเบี้ยประกันภัย ก็จะถูกทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี โดยไม่มีการคิดลด

ตาราง 1.2 เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ที่ 2

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ที่ 2 ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า GMM LRC มีค่าแตกต่างจาก PAA LRC อยู่ที่ร้อยละ 1 ถึง 2 เนื่องจากการคิดลดในวิธีวัดมูลค่าทั่วไป

ตาราง 2.2 เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) สถานการณ์ที่ 2

แม้ว่ารายได้จากการรับประกันภัยของทั้งสองวิธี และรูปแบบกำไรต่อปีจะแตกต่างกัน แต่มูลค่าปัจจุบันของกำไรทั้งหมดเท่ากันทั้งสองวิธี เท่ากับ 12,639 บาท

ข้อสรุปของสถานการณ์ที่ 2 การคิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Discounting)

  • สำหรับวิธีวัดมูลค่าทั่วไป การนำอัตราคิดลด (Discounting) มาคำนวณจะมีผลต่อสำรองประกันภัย และทำให้รายได้จากการรับประกันภัยสูงขึ้น แต่สำหรับวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย อัตราดอกเบี้ยไม่มีผลกระทบต่อสำรองประกันภัย และทำให้รายได้จากการรับประกันภัยสูงขึ้น
  • หากการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ประกันภัย มีสมมติฐานเกี่ยวกับรายได้จากการลงทุน การวัดมูลค่าด้วยวิธีอย่างง่ายต้องมีองค์ประกอบทางการเงิน (financing component or discounting)
  • หากระยะเวลาความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัยสั้น ผลจากการคำนวณด้วยอัตราคิดลดก็จะน้อยมาก
  • หากอัตราคิดลดน้อย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างมีสาระสำคัญ ผลกระทบจากการคำนวณด้วยอัตราคิดลดก็จะน้อยมาก

 

สถานการณ์ที่ 3 อัตราการขาดอายุ (Lapse)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เท่ากันทุกปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ และเบี้ยประกันภัย จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี
  • การขาดอายุไม่มีผลต่อต้นทุนสินไหม และค่าใช้จ่ายในอนาคต แต่กระทบต่อหนี้สินสำรอง และ Deferred Acquisition Cost (DAC) ที่บริษัทถือไว้

ตาราง 1.3 เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ที่ 3

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ที่มีการขาดอายุ ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า GMM LRC และ PAA LRC มีค่าใกล้เคียงกัน นั่นคือแตกต่างกันเพียงร้อยละ 0.5

ตาราง 2.3 เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) สถานการณ์ที่ 3

แม้ว่ารูปแบบรายได้จากการรับประกันภัยและกำไรต่อปีของทั้งสองวิธีจะแตกต่างกัน แต่กำไรทั้งหมดทั้งสองวิธีเท่ากัน เท่ากับ 11,915 บาท

สถานการณ์ที่ 3(ก) อัตราการขาดอายุสูง (High Lapse)

  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) ค่าปรับความเสี่ยง (Risk adjustment; RA) มีค่าเท่ากับ 5 ต่อปี และ ทยอยรับรู้ CSM เท่ากันทุกปี
  • สำหรับ วิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งกรมธรรม์ และเบี้ยประกันภัย จะทยอยรับรู้เท่ากันทุกปี
  • การขาดอายุไม่มีผลต่อต้นทุนสินไหม และค่าใช้จ่ายในอนาคต แต่กระทบต่อหนี้สินสำรอง และ Deferred Acquisition Cost (DAC) ที่บริษัทถือไว้

ตาราง 1.3(ก) เปรียบเทียบ หนี้สินสำหรับความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่ (Liabilities for remaining coverage; LRC) สถานการณ์ที่ 3(ก)

เมื่อคำนวณหนี้สินของกลุ่มสัญญาประกันภัย ภายใต้สถานการณ์ที่มีการขาดอายุที่สูงมาก ด้วยวิธีการวัดมูลค่าทั่วไป (GMM LRC) และด้วยวิธีการวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA LRC) จะพบว่า PAA LRC  จะมีค่าแตกต่างกับ GMM LRC ร้อยละ 1 ถึง 5

ตาราง 2.3(ก) เปรียบเทียบรายได้และกำไรจากการรับประกันภัย ระหว่างวิธีวัดมูลค่าทั่วไป (GMM) และวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย (PAA) สถานการณ์ที่ 3(ก)

แม้ว่ารูปแบบรายได้จากการรับประกันภัยและกำไรต่อปีของทั้งสองวิธีจะแตกต่างกัน แต่กำไรทั้งหมดทั้งสองวิธีเท่ากัน เท่ากับ 11,150 บาท

ข้อสรุปของสถานการณ์ที่ 3 อัตราการขาดอายุ (Lapse)

  • สำหรับวิธีวัดมูลค่าทั่วไป การใช้อัตราการขาดอายุ(Lapse) มาคำนวณจะมีผลต่อกระแสเงินสดในอนาคต และสำรองประกันภัยที่บริษัทถือไว้
  • สำหรับวิธีวัดมูลค่าอย่างง่าย การใช้อัตราการขาดอายุ(Lapse) จะกระทบต่อสำรองประกันภัย และ Deferred Acquisition Cost (DAC) ที่บริษัทต้องถือไว้
  • หากผลิตภัณฑ์ประกันภัยไม่สามารถขาดอายุ หรือจำนวนกรมธรรม์ที่ขาดอายุน้อยมาก ผลกระทบจากการคำนวณด้วยวิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายก็จะน้อยมาก

 

การสำรวจจากตัวอย่างการคำนวณอย่างง่ายที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการตีความข้างต้น ทำให้เรานำมาสรุปเป็นรายการ checklist ที่บริษัทสามารถนำใปใช้ตรวจสอบสิทธิการใช้วิธีวัดมูลค่าอย่างง่ายได้ดังนี้

 สัญญาประกันภัยไม่เป็นภาระ (Not onerous)

 ลักษณะความเสี่ยงมีความเรียบง่าย (Simple risk profile)

 ต้นทุนสินไหมเกิดสม่ำเสมอ หรือสอดคล้องกับการทยอยรับรู้เบี้ยประกันภัย
(Level claim cost or aligning with premium allocation)

 ไม่ใช้อัตราคิดลดในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย (No discounting in pricing)

 ระยะเวลาคุ้มครองสั้น (Product term is short)

 ไม่มีการขาดอายุ หรือขาดอายุน้อยมาก (No or minimal lapse)

หากคำตอบทั้ง 6 ข้อทั้งหมดข้างบน เป็น “ใช่” สามารถใช้วิธีวัดมูลอย่างง่าย ได้

 


บทความโดย สุทีม ภัทรมาลัย, FSA, FSAT
และจัดทำตัวอย่างการคำนวณโดย สุชิน พงษ์พึ่งพิทักษ์, FSA, FSAT

 

0 Comments

Leave Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Categories
  • Business issues
  • Events & News
  • IFRS17
  • Insurance updates
  • TAS 19 / IAS 19 Employee Benefits
  • Uncategorized

การเลือกวิธีวัดมูลค่าตาม IFRS17 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย (ตอนที่ 3 : ขั้นตอนการพิจารณา หากต้องการเลือกใช้วิธี PAA (ต่อ))

Previous thumb

ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI’s)

Next thumb
Scroll
Copyright 2022 Team Excellence Consulting Co., Ltd. All rights reserved